iPad Pro แบบจอเต็มแผ่นที่เพิ่งเปิดตัวในปี 2018 นี้คงทำให้หลาย ๆ คน “ว้าว” ได้จากหลากหลายมุม แต่ถ้าพิจารณาจากคำถามที่ว่า “ควรซื้อหรือไม่” คำที่ตอบที่ได้อาจจะแตกต่างกัน…
ณ ปลายปี 2018 เรามี iPad ให้เลือกซื้อถึง 5 รุ่น นั่นคือ
- iPad mini 4 จอ 7.9″ (ออกมาตั้งแต่ 2015)
- iPad ธรรมดา จอ 9.7″ (เรียกชื่ออย่างเป็นทางการว่า iPad Gen 6 หรือ iPad 2018 เปิดตัวเมื่อมีนาคม 2018)
- iPad Pro 10.5″ (ออกมาตั้งแต่ปี 2017)
- iPad Pro 11″ (ล่าสุด)
- iPad Pro 12.9″ (ล่าสุด)
นับได้ว่า ตระกูล iPad ซึ่งเปิดตัวตั้งแต่ปี 2010 ได้ดำเนินมาถึงยุคที่เข้าถึงผู้คนได้แทบทุกกลุ่มแล้ว แต่ละรุ่นที่ยังวางขาย (รวมทั้ง iPad รุ่นที่เก่ากว่านั้นและ Apple ไม่ได้พูดถึง) นั้นตอบสนองกับ “ความต้องการ” และ “ความจำเป็น” ในการใช้งานของแต่ละบุคคล แต่ละกลุ่ม แต่ละธุรกิจได้เป็นอย่างดี
เปิดหัวมาแบบนี้เพื่อจะสื่อให้ทุกท่านทราบว่า iPad เครื่องใหม่ของท่านในปีนี้ อาจจะไม่ใช่ iPad Pro รุ่นใหม่แกะกล่องที่เพิ่งเปิดตัวก็เป็นได้
วิดีโองานแถลงข่าวเปิดตัว iPad Pro Mac mini และ MacBook Air : Apple : ตุลาคม 2018
หลังจบการติดตามชมแถลงข่าวเมื่อ 30 ตุลาคม 2018 เกิดความรู้สึกบางอย่าง ซึ่งตอนแรกก็ไม่ค่อยแน่ใจ แต่การติดตามดูเนื้อหารีวิวมากมายที่เกี่ยวกับ iPad Pro รุ่นใหม่ ทำให้ตกผลึกในข้อมูลหลาย ๆ มิติ ที่ตอกย้ำว่า iPad Pro รุ่นใหม่ในปี 2018 นี้ อาจจะยังไม่ใช่ iPad เครื่องใหม่สำหรับทุกคน
ดังนั้น นี่จะเป็นบทความเรื่องการเลือกซื้อ iPad หนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ผมกำลังจะแนะนำให้ “เลือกไม่ซื้อ” สำหรับผู้ใช้ในบางกลุ่ม แต่ในทางตรงกันข้าม สำหรับผู้ใช้บางกลุ่ม ผมก็จะเชียร์ให้ซื้อ
https://www.youtube.com/watch?v=LjaKHqDbzSA
iPad Pro 2018 เหมาะกับใคร ?
กลุ่มที่ 1 ซื้อเลย : ถ้าคุณตอบว่า “ใช่” กับคำถามต่อไปนี้ iPad Pro รุ่นใหม่ (ไม่ว่าจอเล็กหรือใหญ่) เหมาะกับคุณ คุณสามารถหยุดอ่านบทความตอนนี้ แล้วสั่งซื้อได้เลย ถ้ามีบางข้อตอบว่า “ไม่ใช่” หรือ “ไม่แน่ใจ” กรุณาไปตอบคำถามของกลุ่มที่ 2
- รู้แล้วชัดเจนว่าต้องการจะซื้อไปเพื่อใช้ทำอะไร
- จำเป็นต้องใช้เดี๋ยวนี้ ตอนนี้ บัดนี้
- สามารถใช้สร้างรายได้ หรือ มูลค่า หรือ คุณค่า ได้มากกว่าราคาของตัวเครื่อง
- ไม่มีปัญหาเรื่องการจ่ายเงิน 3-7 หมื่นบาทไปกับอุปกรณ์เครื่องนี้
- ไม่เสียใจ ถ้าอีก 1-2 ปี จะมีรุ่นใหม่ที่เจ๋งกว่านี้ออกวางตลาด
กลุ่มที่ 2 คิดให้ดีก่อนซื้อ : ถ้าคุณตอบไม่ใช่บางข้อจากกลุ่มที่ 1 แต่คุณตอบ “ใช่” ทุกข้อ หรือ บางข้อในกลุ่มนี้ คุณมีโอกาสที่เหมาะจะเป็นเจ้าของ iPad Pro รุ่นใหม่ แต่ไม่รับประกันว่าจะคุ้มมูลค่าที่คุณต้องจ่าย
- พอจะจัดสรรเงินค่าเครื่อง 3-7 หมื่นบาทได้ไม่เดือดร้อน
- ใช้ iPad ร่วมกับ Apple Pencil ในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว
- ทำงานด้านการสร้างสรรค์ โดยเฉพาะการถ่ายภาพ แต่งภาพ วาดภาพ ผลิตสื่อ
- iPad เครื่องเดิมพังพอดี หรือ เก่าเกินไปแล้ว ที่ผ่านมาก็ใช้ทุกวัน
- กำลังมองหาคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่มาใช้ เล่นเน็ต ดูยูทูบ Microsoft Office
กลุ่มที่ 3 อย่าซื้อ : ถ้าคุณผ่านคำถามมา 10 ข้อแล้ว ยังไม่เข้าเค้าเลย iPad รุ่นใหม่นี้อาจจะยังไม่คู่ควรกับคุณ โดยเฉพาะถ้าคุณตอบ “ใช่” กับคำถามดังต่อไปนี้
- ยังไม่มีรายได้เป็นของตัวเองที่มากเพียงพอกับค่าอุปกรณ์
- ต้องการคอมพิวเตอร์พลังสูงมาแทน Windows หรือ Mac เครื่องเดิม
- มี iPad อยู่แล้ว แต่ใช้ไม่ค่อยมากเท่าไหร่
- เนื้องานในชีวิตประจำวัน ยังไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องใช้ iPad Pro รุ่นใหม่
- เสียความรู้สึก ถ้า iPad Pro ที่จะออกขายในปีหน้าเจ๋งกว่านี้
กลุ่มที่ 4 ซื้อ iPad รุ่นอื่น : ไม่ว่าอย่างไร iPad ยังคงเป็นอุปกรณ์ที่น่า “หัดใช้” “เรียนรู้” และ “ทำประโยชน์” หากคุณได้ใช้รุ่นที่เหมาะกับการใช้งานจริง ๆ แม้จะไม่ใช่รุ่นใหม่ล่าสุดก็ตาม
- แนะนำ iPad ธรรมดา 2018 – ถ้าคุณต้องการใช้ Apple Pencil วาดรูป ขีดเขียน แต่คุณยังไม่มีงบประมาณมากนัก หรือต้องการใช้ iPad จอใหญ่ เพื่อดูเว็บไซต์ ดูยูทูบ เล่นเกมเบา ๆ พิมพ์งาน Microsoft Office ทำงานเขียน เช็กอีเมล์ เล่นไลน์ หัดเขียนโค้ด อ่านหนังสือ ฟังเพลง ฯลฯ (แต่บอกไว้ก่อนว่า มีนาคม 2019 นี้ “อาจจะ” มีรุ่นใหม่ออกมาก็ได้ ดังนั้น ถ้าไม่รีบรน ก็ทนต่อไป)
- แนะนำ iPad mini – สำหรับคนที่ต้องการ iPad จอเล็ก ไม่จำกัดรุ่นว่าจะมี mini 3 หรือ 4 และอาจจะไม่จำเป็นต้องซื้อกับ Apple โดยตรงก็ได้ (เพราะตอนนี้ Apple มีขายแต่ iPad mini 4 รุ่นความจุ 128GB ซึ่งดูจะสูงเกินความจำเป็น ทั้งราคาและความจุ) อย่างไรก็ตาม มีข่าวลือว่า iPad mini 5 จะเปิดตัวในเดือนมีนาคม 2019 นี้เช่นกัน
- แนะนำ iPad Pro 10.5″ – สำหรับคนที่ต้องใช้พลังแรงของเครื่อง iPad เช่น ต้องการเล่นเกมหนัก นำเสนองานซับซ้อน วาดภาพกราฟิก ตัดต่อวิดีโอ ออกแบบสามมิติ ฯลฯ iPad Pro รุ่น 10.5″ ตอบสนองคุณได้ โดยเฉพาะกรณีที่ราคาที่ต่ำกว่า iPad Pro รุ่นใหม่ 5000 บาท (และอุปกรณ์เสริมก็ราคาต่ำกว่า) นั้นมีนัยสำคัญสำหรับคุณ อย่างไรก็ตาม บางทีถ้าใช้ขนาดนี้ ควรรอให้มีความพร้อมซื้อรุ่นใหม่ไปเลย อาจจะดีกับอนาคตมากกว่า
- แนะนำ iPad ธรรมดา หรือ iPad Pro 10.5″ – ถ้าคุณต้องการ iPad ที่ใส่ซิมได้ สำหรับพกพาไปใช้งานออนไลน์ที่ไหน ๆ ก็ได้โดยไม่ต้องคอยหา Wi-Fi เชื่อมต่อเน็ต และที่สำคัญคือไม่ต้องการจ่ายแพง (แถมอาจมีโปรโมชันกับค่ายมือถือ) เพราะ iPad Pro ใหม่ รุ่นต่ำสุดที่ใส่ซิมได้ คือ iPad Pro 11″ 64GB ราคาเริ่มต้น 33900 บาทไปแล้ว ราคาอาจจะต่างกันเป็นหมื่นได้
- แนะนำ iPad รุ่นไหนก็ได้ที่ไม่ใช่รุ่นใหม่ – ถ้าคุณยังต้องการใช้ช่องเสียบหูฟัง (ไม่ได้แปลว่ารุ่นใหม่จะเสียบไม่ได้ แต่คุณต้องซื้อสายต่อเพิ่มอีก 390 บาท และจะทำให้คุณใช้ไปชาร์จไป ไม่ได้ด้วยนะ)
ทำแบบทดสอบให้รู้จักตัวเองกันพอหอมปากหอมคอกันไปแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นการมองในมุมความต้องการของตัวเราเอง จากนั้น ต่อไปนี้ เราจะมาดู 5 เหตุผลที่ควร และ 5 เหตุผลที่ไม่ควร ซื้อ iPad Pro 2018 ซึ่งจะมุ่งเน้นไปที่ “คุณสมบัติ” ของตัว iPad เป็นสำคัญ
https://www.youtube.com/watch?v=YJ5q8Wrkbdw
5 เหตุผลที่ควรซื้อ iPad Pro 2018
1. จอภาพใหญ่ขึ้นเต็มตา พื้นที่ทำงานกว้างขวาง และมี “โปรโมชั่น” – ขยายมุมมอง
จุดเด่นที่สุดของ iPad Pro รุ่นใหม่ คือ จอภาพที่ใหญ่ขึ้น โดยเฉพาะรุ่น 12.9 นิ้ว ที่ตัวเครื่องขนาดพอ ๆ กับกระดาษ A4 ซึ่งแน่นอนว่า อุปกรณ์บริโภคข้อมูลแบบนี้ ยิ่งจอใหญ่ก็ยิ่งดี
หรือแม้แต่จะใช้ทำงาน เช่น ดูภาพที่ถ่ายมา ตกแต่งภาพ หรือตัดต่อวิดีโอ ก็มีความสะดวกเพราะจอใหญ่ขึ้น
หากใช้งานร่วมกับ Apple Pencil แล้ว ก็จะเหมือนคุณกำลังวาดเขียนบนกระดาษจริง ๆ ได้เลย โดยไม่ต้องย่อขยายเหมือนกับที่เคยใช้บน iPad รุ่นก่อน ๆ
จอเป็นสิ่งที่ Apple เรียกว่า Liquid Retina Display ซึ่งก็เป็นจอ LCD ที่มุมโค้งมน แบบเดียวกับใน iPhone XR แต่ยังเหนือกว่าตรงที่มีเทคโนโลยี “โปรโมชั่น” ซึ่งเปิดตัวใน iPad Pro 10.5″ จุดเด่นคือมีอัตราการรีเฟรชหน้าจอสูงสุด 120Hz การเคลื่อนไหวของภาพสมูทสุด ๆ
2. Apple Pencil รุ่นใหม่ – ความสุขในงานสร้างสรรค์
Apple Pencil รุ่นใหม่ ใช้ได้กับเฉพาะ iPad Pro รุ่นใหม่เท่านั้น จุดเด่นของมันคือ การแปะติดชาร์จไร้สายกับขอบข้างของ iPad Pro ได้ทันที และบนตัวด้าม Pencil ก็มี capacitive sensor ที่ทำให้ใช้นิ้วแตะสั่งงานลงไปได้ เช่น แตะสองทีเพื่อเปลี่ยนปากกาเป็นยางลบในแอปวาดภาพ
คนที่ได้ลองใช้ถึงขั้นออกปากว่า นี่ควรจะเป็น Apple Pencil ตัวจริงมากกว่ารุ่นแรกที่ออกมา
3. หน่วยประมวลผลสุดแรง – ประสิทธิภาพสูง
iPad Pro รุ่นใหม่ มาพร้อมความแรงของซีพียู A12X Bionic ที่มี Neural Engine และ Co-Processor รุ่น M12 ซึ่งทำคะแนนได้แรงแซงหน้าชิปในคอมพิวเตอร์ทั่วไปหลายรุ่น
พลังหน่วยประมวลผลแรง ๆ แบบนี้เหมาะสมอย่างยิ่งกับแอปหรือเกมที่ใช้การประมวลผลหนัก ๆ รวมไปถึงการรองรับแอปในกลุ่ม AR VR หรือใครจะใช้กับงานสร้างสรรค์ ตกแต่งภาพ ทำดนตรี ตัดต่อวิดีโอ ก็จะทำให้การทำงานรวดเร็วราบรื่นขึ้น
4. สแกนใบหน้า ไม่ยึดติดทิศทาง เสียงปัง – สะดวกสบาย
iPad Pro ใหม่มาพร้อมเทคโนโลยี Face ID ที่สแกนใบหน้าเพื่อยืนยันเจ้าของเครื่องได้รวดเร็ว ไม่ต้องสแกนนิ้ว และยังสแกนได้ ไม่ว่าจะหยิบ iPad Pro ขึ้นมาในท่าไหน แนวตั้ง แนวนอน ได้หมด ยกเว้นมือไปบังกล้อง (ซึ่งบนจอก็จอบอกให้เอามือออก) หรือบางทีตามองบนมากไป แต่กล้องไปอยู่ข้างล่าง ก็จะมีข้อความชี้ให้มองล่างบ้าง
ประโยชน์ที่เด่นชัดคือความปลอดภัยระดับสูงจากการสแกนใบหน้า ที่มาพร้อมความคล่องตัวในการใช้งาน ซึ่งเป็นปัจจัยเสริมความสะดวกสบาย และความรื่นรมย์จากการใช้งาน พอ ๆ กับลำโพง 4 ตัว ไมค์ 5 ตัว และแถมด้วยแบตเตอรี่ใช้งานได้เต็มเวลาทำงาน ได้โดยไม่ค่อยเป็นปัญหาเท่าใดนักอยู่แล้ว
อัดแน่นขนาดนี้ แต่น้ำหนักก็ถือว่าพอดีมือ เบากว่าที่คาด แต่ก็ไม่ได้เบาจนเกินไป (468 กรัม กับ 633 กรัม ในรุ่น 11 นิ้ว กับ 12.9 นิ้ว ตามลำดับ)
5. ก้าวสู่ยุคใหม่ของเทคโนโลยี Post PC – ทะยานสู่อนาคต
จะว่าไป ข้อนี้คือจุดเด่นที่สุดของ iPad Pro รุ่นใหม่นี้ แต่ผมก็จัดให้เป็นเหตุผลสุดท้ายที่คุณจะใช้เพื่อซื้อ เนื่องจากความรู้สึกที่มีต่อราคา เมื่อเทียบกันแล้ว แค่จัดเวลาเดินไปจับของจริงที่ร้าน Apple ก็น่าจะเพียงพอทดแทนได้โดยไม่ต้องซื้อหามาเป็นเจ้าของ
iPad Pro รุ่นใหม่ จะเป็นเหมือนอุปกรณ์เปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้คุณได้เข้าถึงก่อนใคร ไม่ว่าจะเป็น
- ความที่เป็นแท็บเลตแผ่นเต็มจอ ใช้ระบบยืนยันตัวตนจากการสแกนใบหน้า
- การมีช่องเสียบ USB-C ที่ต่อกับอุปกรณ์ในอนาคตได้กว้างขวางขึ้น
- ดีไซน์ใหม่ ขอบเรียบ เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มี iPad มา (ที่ผ่านมาขอบจะโค้งหลังเต่า)
- แน่นอนว่ารองรับการใช้งานอุปกรณ์เสริมใหม่ ๆ ในอนาคต
- บางกว่า iPod touch เสียอีก (iPad Pro ใหม่ 5.9 มม. iPod touch 6.1 มม.)
- จะเก่งขึ้นด้วย iOS 13 14 15 16 17 … ที่จะออกใหม่ในอนาคต
5 เหตุผลที่ ไม่ควรซื้อ iPad Pro 2018
1. งบลงทุนสูง – เรียกอีกอย่างว่า “แพง”
แม้ว่าคำว่า “ถูกหรือแพง” จะขึ้นอยู่กับการใช้งานที่ “คุ้มค่าหรือไม่” เป็นหลัก แต่สำหรับระดับราคาของ iPad Pro รุ่นใหม่นี้ ขยับฐานขึ้นจากเดิม ซึ่งเป็นปรากฏการณ์เดียวกันที่เกิดขึ้นกับ iPhone ปีนี้ คือ สินค้ารุ่นใหม่ จะวางตั้งไว้ ณ ราคาที่สูงกว่าเดิม ขณะที่ของเดิมไม่ลดราคาหรือ ลดราคาแค่เล็กน้อย
เทียบที่รุ่นราคาต่ำสุด ตัวเครื่อง iPad Pro 11″ รุ่นใหม่ 64GB Wi-Fi ราคา 28900 บาท ขณะที่ iPad Pro 10.5″ รุ่นปี 2017 ตอนนี้ราคาอยู่ที่ 23900 บาท (ต่ำกว่า 5000)
แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า Apple ปรับราคา iPad Pro 10.5″ ลดลงเฉพาะรุ่นความจุ 64GB (ปีที่แล้วขาย 24500 ปีนี้ขาย 23900 บาท) แต่รุ่นความจุ 256GB และ 512GB ราคาปรับเพิ่มอีก 1000-1200 บาท (รุ่น 256GB ปีที่แล้วขาย 27900 ปีนี้ขาย 28900 บาท ส่วนรุ่น 512GB ปีที่แล้วขาย 34700 ปีนี้ขาย 35900 บาท)
ทำให้หลายคนที่ยั้งมือรอคอย iPad Pro ลดราคา ต้องผิดหวัง เพราะรุ่นความจุสูง กลับราคาเพิ่มด้วยซ้ำ
และการที่ราคา iPad Pro 10.5″ ปรับเพิ่มในบางรุ่น ทำให้ราคา iPad Pro ใหม่จึงคำนวณจากฐานที่สูงเพิ่มขึ้นไปด้วย เรียกว่า เป็นการปรับฐานราคาครั้งใหญ่ของ Apple กันเลยทีเดียว
- iPad Pro 11″ ราคาสูงกว่า iPad Pro 10.5″ อยู่ 5000 บาท (ในรุ่นความจุเท่ากัน) สิ่งที่ได้เพิ่มขึ้นมาคือ จอใหญ่ขึ้น ซีพียูเร็วขึ้น เทคโนโลยีใหม่ขึ้น กล้องสวย มี Face ID ฯลฯ แต่สิ่งที่เสียไปคือ ปุ่มโฮมสแกนลายนิ้วมือ ช่องเสียบหูฟัง และความสามารถในการรองรับ Apple Pencil รุ่นแรก
ดังนั้น หากคุณต้องการจะใช้ iPad Pro รุ่นใหม่ เงินขั้นต่ำที่ต้องจ่าย ก็คือ iPad Pro 11″ Wi-Fi 64GB ราคา 28900 บาท หรือถ้าจะขยับไปรุ่นจอใหญ่ 12.9″ ให้สะใจ ก็ราคาเริ่มต้นที่ 35900 บาท ในรุ่น Wi-Fi 64GB เช่นกัน
แต่นั่นแปลว่า แม้ราคาจะอยู่แถว ๆ 30000 แต่คุณจะไม่สามารถใส่ซิมได้ (ถ้าเทียบกับ 10.5″ ที่ราคาระดับนี้ควรใส่ซิมได้แล้ว) ถ้าคุณต้องการใส่ซิมด้วย คุณต้องจ่ายเพิ่มอีก 5000 บาท ไปเลือกรุ่น Cellular+Wi-Fi
สรุปส่วนต่างราคาให้เข้าใจง่ายขึ้น
- ถ้าต้องการเพิ่มจอให้ใหญ่ขึ้นจาก 11″ เป็น 12.9″ จ่ายเพิ่ม 7000 บาท
- ถ้าต้องการเพิ่มความสามารถให้ใส่ซิมได้ จ่ายเพิ่ม 5000 บาท
- ถ้าต้องการเพิ่มความจุ จาก 64GB เป็น 256GB จ่ายเพิ่ม 5000 บาท
- ถ้าต้องการเพิ่มความจุ จาก 256GB เป็น 512GB จ่ายเพิ่มอีก 7000 บาท
- ถ้าต้องการเพิ่มความจุ จาก 512GB เป็น 1000GB หรือ 1TB (และได้ RAM เพิ่มจาก 4GB เป็น 6GB) จ่ายเพิ่มอีก 14000 บาท
2. อุปกรณ์เสริม – เสริมราคา
ไม่ใช่แค่ตัวราคาเครื่องที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ราคาของสิ่งที่คุณต้องซื้อมาประกอบให้ครบสมบูรณ์ก็เพิ่มสูงขึ้นด้วย
- Apple Pencil (รุ่นที่ 2) ราคา 4490 บาท (ในขณะที่ Apple Pencil รุ่นแรก 3400 บาท)
- เคส Smart Folio ประกบหน้าหลังจาก Apple รุ่น 11 นิ้ว 3790 บาท รุ่น 12.9 นิ้ว 3990 บาท
- Smart Keyboard Folio รุ่น 11 นิ้ว 6490 บาท รุ่น 12.9 นิ้ว 7290 บาท
อาจจะไม่ใช่ทุกคนที่จำเป็นต้องใช้ทั้งสามสิ่งนี้ แต่อย่างน้อย Apple Pencil ก็อาจจะเป็นความต้องการใช้งานหลัก ๆ เมื่อรวมกับเคส ที่ก็ควรต้องมี (แต่อาจจะไม่จำเป็นต้องยี่ห้อ Apple) เท่ากับต้องจ่ายเพิ่มสำหรับ iPad Pro รุ่นใหม่อีก ไม่ต่ำกว่า 7000-10000 บาท สำหรับอุปกรณ์เสริม
ถ้าเหตุผลเรื่องค่าใช้จ่าย ไม่ใช่สิ่งสำคัญสำหรับคุณเท่าใดนัก เรามาดูเหตุผลที่ไม่ควรซื้อข้อต่อไปกัน…
3. การเชื่อมต่อที่เปลี่ยนไป – บัยยย Lightning & 3.5mm Jack
คุณไม่คู่ควรกับการจะต้องมาตกใจภายหลัง ว่าเมื่อหิ้ว iPad Pro ใหม่กลับมาถึงบ้าน แล้วสายชาร์จ Lightning ที่บ้านใช้งานไม่ได้ เพราะ iPad Pro รุ่นใหม่ ใช้ช่องเสียบที่เปลี่ยนไป คือมาใช้ USB-C ซึ่งก็มีข้อดีที่เชื่อมต่อได้กว้างขวางขึ้น เพราะอุปกรณ์ใหม่ ๆ ในโลกนี้ก็เป็น USB-C กันบ้างแล้ว และยังมีความเร็วในการเชื่อมต่อส่งภาพ 4K ออกไปยังจอมอนิเตอร์ภายนอก ทำงานได้อิสระกว้างขวางขึ้น
ถ้าคุณรู้อยู่แล้วว่า USB-C นี่มีความหมายกับคุณยังไง iPad Pro นี้น่าจะเหมาะกับคุณ และคุณอาจจะรอมันมานาน แต่สำหรับคนที่ยังไม่แน่ใจว่ามันจะมีความหมายอะไร อาจจะไม่จำเป็นต้องให้แต้มอะไรตรงนี้มากนัก นอกจากเพียงรับรู้ว่า สายชาร์จที่เคยมีมาจากการใช้ iPad iPhone รุ่นก่อน ๆ นั้น ใช้ต่อตรงนี้ไม่ได้
ช่องเสียบหูฟัง 3.5 mm ก็หายไปด้วยนะ เพราะ Apple เน้นให้เราย้ายไปใช้ AirPods หรือพวกหูฟังไร้สายมากกว่า แต่แน่นอนว่าย่อมมีข้อจำกัดบางประการแน่ ๆ
แต่ถ้าใครต้องการใช้ต่อ ก็สามารถซื้อสายต่อหูฟัง ที่เสียบตรงจากช่อง USB-C มาใช้ก็ได้ เพียงแต่คุณจะไม่สามารถเสียบหูฟังไปพร้อมกับการเสียบชาร์จได้ (เพราะมันคือช่องเสียบเดียวกัน)
4. มันคือ iPad สายพันธุ์ใหม่รุ่นแรก
ดูจากองค์ประกอบหลาย ๆ อย่างแล้ว ผมไม่อยากจะนับว่านี่คือ iPad สปีชีส์เดียวกับ iPad ที่แล้ว ๆ มา เพราะหลาย ๆ สิ่งในตัวมันเปลี่ยนไปอย่างมาก ทั้งเรื่องจอ การใช้ ดีไซน์ รูปร่าง การเชื่อมต่อ ฯลฯ
อ้าว! แต่เป็นรุ่นแรกแล้วไม่ดียังไง ?
สำหรับคนที่รู้จัก Apple มานาน อะไรที่เป็น “รุ่นแรก” นั้นมักจะมีลักษณะเฉพาะตัว เช่น ยังไม่เก่งเท่าที่ควร ยังมีจุดบกพร่องอยู่บางประการ ยังยั้งมือในการใส่ฟีเจอร์ใหม่ ๆ ซึ่งในวันที่อุปกรณ์เหล่านี้วางขาย เราไม่รู้หรอกว่ามันเป็นแบบนั้น จนกระทั่งมีรุ่นที่สองออกมา
อย่างที่เห็น ๆ กัน คือ Apple Pencil รุ่นแรกกับรุ่น 2 ที่ต่างกันชัดเจน iPad 1 กับ iPad 2 รูปร่างก็บางลงชัด หรือ iPhone รุ่นแรก กับรุ่นสอง ก็เช่นกัน หรือแม้แต่ Apple Watch รุ่นแรก กับรุ่นที่ออกในปีถัดมา ก็มีฟีเจอร์ที่ต่างกันอย่างก้าวกระโดด
ผลประโยชน์สำคัญที่คนซื้อสินค้า “รุ่นแรก” ของ Apple คือการได้เข้าถึงเทคโนโลยีล้ำ ๆ ก่อนคนอื่น ซึ่งอาจทำให้คุณได้รับประโยชน์มากบ้างน้อยบ้างต่างกันไป และอาจแถมมาด้วยจุดด้อยบางอย่างที่ Apple อาจจะยังหาไม่พบ (หรืออาจจะแก้ไม่ทัน)
ดังนั้น จึงไม่แปลกที่ผลิตภัณฑ์ในรุ่น 2 ของ Apple มักจะดีขึ้นอย่างก้าวกระโดด แล้วจากนั้นก็จะขยับดีขึ้นทีละเล็กทีละน้อย เหมือนกับเริ่มเข้าที่เข้าทาง
หาก iPad Pro รุ่นใหม่นี้ ยังเดินทางสายเดิม ก็ย่อมคาดการณ์ได้ว่า ในปีหน้า iPad Pro รุ่น 2019 อาจจะมีโครงบอดี้ที่แข็งแรงขึ้นกว่าเดิม หน้าจอแบบ OLED ที่หลายคนรอคอย กล้องคู่แบบเดียวกับ iPhone Xs และแน่นอนว่าซีพียูประสิทธิภาพการทำงานก็จะดีขึ้นไปอีก
ไม่แน่ใจว่า ในอีก 1 ปีข้างหน้า คุณจะยอมรับได้ไหม ถ้าคุณตัดสินใจซื้อรุ่นนี้ไปก่อนแล้ว
แต่คนที่ซื้อ iPad Pro ปีนี้แล้วได้ใช้งานจริงจัง ก็ไม่ต้องเสียใจ เพราะใน 1 ปี หรือ 12 เดือนที่กำลังจะผ่านเข้ามานี้ ก็นานและมากพอที่จะทำให้คุณได้งานที่ก้าวกระโดด ได้ทักษะที่ไม่เคยมีมาก่อน และเพียงพอต่อความคุ้มมูลค่าก็เป็นไปได้
ส่วนคนที่รู้สึกว่าเงินก้อนนี้ราคาสูง และไม่แน่ใจว่าจะใช้คุ้มไหม อยากให้อดทนรอคอย หรือถ้าต้องใช้งาน ก็หา iPad รุ่นธรรมดาที่ราคาต่ำกว่านี้ ฝึกปรือฝีมือไปก่อน
5. ไม่ … ยังแทนคอมพิวเตอร์ไม่ได้
แม้ประสิทธิภาพจะแรงกว่าคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่จริงตามข้อความโฆษณา หรือว่าจะเชื่อมต่อกับแป้นพิมพ์ไร้สาย ตั้งใช้งานได้เหมือนโน้ตบุ๊กเป๊ะ ๆ แต่บอกเลยว่า iPad Pro รุ่นใหม่ ก็ยัง “แทนที่” คอมพิวเตอร์ไม่ได้อย่างสมบูรณ์แบบแน่นอน
แบ่งเป็นข้อจำกัดบางด้านที่รอการแก้ไข ได้แก่
- การรองรับเมาส์ – แม้ประมวลผลได้ทรงพลัง แต่ยังไม่รองรับการเชื่อมต่อกับ เมาส์ หรือ trackpad ที่จะใช้งานในลักษณะสั่งงานด้วยลูกศร ซึ่งมีความแม่นยำสูงกว่า นิ้วหรือ Pencil จุดนี้ถือเป็นข้อจำกัดสำคัญ ที่ทำให้แอปบางประเภทใช้นิ้วจิ้มบอกตำแหน่งไม่ได้ หรือไม่สะดวก ยังไม่ค่อยเหมาะสมนัก
- การเสียบฮาร์ดดิสก์และแฟลชไดรฟ์ – แม้จะเป็น USB-C แล้ว แต่คุณก็ยังไม่สามารถเอาอุปกรณ์เก็บข้อมูลมาเสียบแล้วดูไฟล์ได้แบบใน Windows Explorer หรือ Finder ใน macOS อย่างไรก็ตาม อุปกรณ์เก็บข้อมูลที่อ่านได้ตอนนี้มีเพียง SD CARD จากกล้อง ซึ่งจะเปิดเข้าแอป Photos ให้ทันที
- การจัดการไฟล์ – การจัดการไฟล์ยังคงยุ่งยากอยู่ แม้ข้อจำกัดบางส่วนจะแก้ปัญหาได้ด้วย Dropbox หรือ iCloud ที่นำข้อมูลเราขึ้นไปเก็บบนคลาวด์ แต่มันก็ต้องใช้การปรับตัว และการที่ยังเสียบอุปกรณ์เก็บข้อมูลภายนอกไม่ได้ ก็ยังไม่ใช่คอมพิวเตอร์ที่ครบสมบูรณ์อยู่ดี
- แอปที่เคยใช้ในคอมพ์ – ยังมีไม่มากจนถึงขั้นแทนที่กันได้ในบางแอป รวมถึงไม่สามารถติดตั้งระบบ Windows ได้
ส่วนดีที่ทำให้พอสบายใจได้คือ ปัญหาทั้ง 4 ข้อด้านบน แก้ได้เพียงแค่ Apple ดีดนิ้วเท่านั้น หมายความว่า ใน iOS 14 15 16 ปัญหาเหล่านี้อาจจะหมดไปแล้วก็เป็นได้ และ iPad Pro ที่คุณซื้อในปีนี้ก็จะมีโอกาสเติบใหญ่ไปเป็นคอมพิวเตอร์ได้ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าเช่นกัน
ว่าด้วยเรื่อง iPad แทน คอมพิวเตอร์
อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่สามารถ “แทนที่” แต่ก็ต้องบอกว่า ความเก่งของ iPad ที่พัฒนาต่อมาเรื่อย ๆ นั้น สามารถ “เป็น” อุปกรณ์ทดแทนคอมพิวเตอร์ของหลายต่อหลายคนได้มากขึ้น เช่น
- กลุ่มผู้ใช้ Microsoft Office – Microsoft ออกแอป Office 365 ที่มีความเก่งทัดเทียมคอมพิวเตอร์ เสียเงินค่าใช้งานปีละไม่กี่ร้อยบาท (แพ็กเกจแบบ Family) รองรับฟอนต์และการจัดหน้าแบบไทย ๆ ที่เราใช้กันเป็นประจำได้ค่อนข้างสมบูรณ์ โดยเฉพาะ Word Excel PowerPoint แต่ปัญหาสำคัญที่คุณต้องก้าวข้ามให้ได้ คือการเรียนรู้การจัดการไฟล์ในยุคใหม่ ที่ใช้ระบบคลาวด์เป็นหลัก
- กลุ่มผู้เน้นเสพข้อมูลข่าวสารความบันเทิง – ดูเว็บ ดู YouTube เล่นเกม เป็นหลัก แน่นอนว่า ตอบโจทย์ไปได้ค่อนข้างจะสมบูรณ์และเหนือกว่าคอมพิวเตอร์ด้วยซ้ำ
- กลุ่มผู้ใช้งานกราฟิก วาดภาพ ตกแต่งภาพ – นักสร้างสรรค์ที่คงจะมี Apple Pencil ตอบโจทย์ได้ดีกว่าที่เคยใช้มากับแค่บนคอมพิวเตอร์ แถม Adobe ยังเตรียมออก Photoshop CC ที่จะใช้งานบน iPad ได้ในต้นปี 2019 อีกด้วย
- กลุ่มผู้ใช้งานดูภาพ ตกแต่งภาพถ่าย – พก iPad นั้นดีกว่าพกคอมพ์ไว้ดูภาพเป็นไหน ๆ อันนี้ช่างภาพทราบดี แถมยังมีแอปแต่งภาพเก่ง ๆ ไว้ให้เล่นเพียบ
- กลุ่มผู้ใช้งานตัดต่อวิดีโอ – แม้ยังไม่มีแอปตัดต่อระดับพระกาฬ อย่าง FinalCut หรือ Premiere Pro ออกมารองรับ iPad จริงจัง แต่ก็มีหลายแอปที่ช่วยให้งานตัดต่อบน iPad ง่ายขึ้น แม้แต่ iMovie ก็ตาม
- กลุ่มผู้ใช้งานที่ต้องนำเสนอ – นักธุรกิจ นักขาย ครูอาจารย์ iPad ตอบโจทย์อยู่แล้ว พกพาง่าย แบตไม่หมด
การแทนที่คอมพิวเตอร์ของ iPad นั้น คงจะไม่ใช่การมาแทนได้ทันทีแบบล้างเผ่าพันธุ์ หากแต่เป็นการคืบคลานเข้ามาตอบสนองความต้องการของคนไปเรื่อย ๆ ทีละกลุ่ม ทีละความต้องการ
สรุป ตกลงว่า ควร หรือ ไม่ควรซื้อ iPad Pro รุ่นใหม่กันแน่ ?
ก็แล้วแต่สิครับ… แล้วแต่เงินในกระเป๋า แล้วแต่ความจำเป็น ความต้องการ หรือแม้แต่ความอยากของคุณ
บทความนี้ตั้งใจพยายามให้ข้อมูล แง่มุม ที่ทำให้คุณเข้าใจภาพรวม เพื่อให้เกิดการชั่งน้ำหนักในใจ อย่างน้อย ไม่ว่าคุณตัดสินใจซื้อ หรือไม่ซื้อ คุณก็จะมีเหตุผลสนับสนุนที่มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นบ้าง
ในโลกเทคโนโลยี สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่อุปกรณ์ แต่เป็นผู้ใช้ ที่จะรู้จักเลือกซื้อ เลือกใช้ อย่างรู้เท่าทัน และมีเหตุมีผลมากพอเพียงหรือไม่